คำว่า ที่มาของกฎหมาย นักกฎหมายหลายท่านให้ความหมายไว้แตกต่างกัน บางท่านหมายถึงแหล่งที่มาหรือบ่อเกิดของกฎหมาย บางท่านหมายความถึงแหล่งที่จะค้นพบกฎหมาย หรือบางท่านอาจหมายความถึงศาลหรือผู้ที่จะนำกฎหมายไปปรับใช้กับคดีที่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่านักกฎหมายจะมีความเห็นแตกต่างกันออกไป แต่ที่มาของกฎหมายโดยทั่วไปแล้วมีความใกล้เคียงกัน โดยพิจารณาถึงที่มาของกฎหมายหลักสองระบบคือ ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร และระบบกฎหมายไม่เป็นลายลักษณ์อักษร ที่มาของระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร 1. กฎหมายลายลักษณ์อักษร เป็นระบบที่สืบทอดมาจากกฎหมายโรมัน ซึ่งให้ความสำคัญกับตัวบทกฎหมายที่บัญญัติขึ้นใช้โดยถูกต้องตามกระบวนการบัญญัติกฎหมาย ดังนั้นที่มาประการสำคัญของระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร ก็คือกฎหมายที่มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งอาจมีหลายลักษณะด้วยกัน เช่น รัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมาย พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง เป็นต้น 2. จารีตประเพณี ในบางครั้งการบัญญัติกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร จะให้ครอบคลุมทุกเรื่องเป็นไปได้ยาก จึงต้องมีการนำเอาจารีตประเพณี มาบัญญัติใช้เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรด้วย เช่น การชกมวยบนเวที ถ้าเป็นไปอย่างถูกต้องตามกติกา ถึงแม้ว่าคู่ต่อสู้จะบาดเจ็บหรือเสียชีวิตก็ไม่มีความผิด หรือแพทย์ที่ตัดแขนตัดขาคนไข้โดยที่คนไข้ยินยอมก็ไม่มีความผิด เป็นต้น เท่าที่ผ่านมายังไม่มีการฟ้องร้องคดีเรื่องเหล่านี้เลย ซึ่งคงจะเป็นเพราะจารีตประเพณีที่รู้กันโดยทั่วไปว่าเป็นเสมือนกฎหมาย 3.
ความหมายของคำว่า "ศีลธรรม มนุษยธรรม จริยธรรม และมโนธรรม" เรียบเรียงโดย ดร. เมธา หริมเทพาธิป เนื่องจากคำทั้ง 4 คำนี้ มีความหมายคล้ายคลึงกัน จึงใคร่ขออธิบายความหมายของคำเหล่านี้ให้เข้าใจเป็นเบื้องต้น ดังนี้ (ชัยวัฒน์ อัตพัฒน์ และคณะ, 2534, หน้า 151 - 152) 1. ศีลธรรม หมายถึง ระเบียบแบบแผน ซึ่งเป็นข้อห้ามและข้อควรปฏิบัติเพื่อเป็นเครื่องควบคุมกาย วาจา และใจ ให้มีความสงบและความสุข มีขอบเขตแคบกว่าจริยธรรม 2. มนุษยธรรม หมายถึง ธรรมที่จำเป็นสำหรับความเป็นมนุษย์ คือ ผู้มีใจสูง มนุษยธรรมในที่นี้ก็คือ เบญจศีล (ศีล 5) เบญจธรรม (ธรรม 5) นั่นเอง 3. จริยธรรม หมายถึง หลักธรรมที่ควรประพฤติหรือใช้เป็นแสงสว่างส่องทางดำเนินชีวิตหรือควบคุมความประพฤติทางกาย วาจา และใจ ให้ตั้งอยู่ในความดี ความงาม และความถูกต้อง 4. มโนธรรม คือ ความรู้สึกสำนึกทางศีลธรรมว่า อะไรถูก อะไรผิด อะไรควรและอะไรไม่ควรอย่างไร มโนธรรมเท่านั้นจะเป็นเสียงแว่วเสียงสวรรค์บอกให้เราทราบว่าอะไรควรเว้น อะไรควรทำ
ไม่ชอบธรรม (ความ) ก่อนหน้า ถัดไป ดู ชอบธรรม (ความ); ชั่ว, ชั่วร้าย (ความ); บาป; สกปรก (ความ); อาธรรม์ (คน) ด้วย ชั่วร้าย, อธรรม; คนที่ไม่รักพระผู้เป็นเจ้าหรือสิ่งต่าง ๆ ของพระผู้เป็นเจ้าและคนที่ไม่สนับสนุนอุดมการณ์ของพระองค์. คนอธรรมจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า, ๑ คร. ๖:๙–๑๐. คนที่ยินดีในการอธรรมจะถูกพิพากษาลงโทษ, ๒ ธส. ๒:๑๒. พระเยซูคริสต์จะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น, ๑ ยน. ๑:๙. กษัตริย์ที่ไม่ชอบธรรมบิดเบือนทางแห่งความชอบธรรมทั้งสิ้น, โมไซยาห์ ๒๙:๒๓. รากฐานแห่งความพินาศถูกจัดวางโดยความไม่ชอบธรรมของทนายและผู้พิพากษา, แอลมา ๑๐:๒๗. เราส่งเจ้าออกไปเพื่อว่ากล่าวโลกถึงการกระทำไม่ชอบธรรมของพวกเขา, คพ. ๘๔:๘๗. จิตวิญญาณต้องได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากความไม่ชอบธรรมทั้งมวล, คพ. ๘๘:๑๗–๑๘. กมลสันดานของมนุษย์เกือบทุกคนคือจะเริ่มใช้อำนาจการปกครองที่ไม่ชอบธรรม, คพ. ๑๒๑:๓๙.
2 การรักษาศีลตามความเชื่อในศาสนาของตน ศีลเป็นตัวกำหนดที่จะทำให้งดเว้นในการที่จะกระทำชั่วร้ายใด ๆ อยู่ในจิตใจ ส่งผลให้บุคคลมีพลังจิตที่เข้มแข็งรู้เท่าทันความคิดสามารถควบคุมตนได้ 3. 3 การทำสมาธ ิ เป็นการฝึกให้เกิดการตั้งมั่นของจิตใจทำให้เกิดภาวะมีอารมณ์หนึ่งเดียวของกุศลจิต เป็นจิตใจที่สงบผ่องใสบริสุทธิ์เป็นจิตที่เข้มแข็ง มั่นคง แน่วแน่ ทำให้เกิดปัญญาสามารถพิจารณาเห็นทุกอย่างตรงสภาพความเป็นจริง 3. 4 ฝึกการเป็นผู้ให ้ เช่น การรู้จัก ให้อภัย รู้จักแบ่งปันความรู้ ความดีความชอบ บริจาคเพื่อสาธารณะประโยชน์ อุทิศแรงกายแรงใจช่วยงานสาธารณะประโยชน์โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ สรุปได้ว่า การพัฒนาจริยธรรมด้วยวิธีพัฒนาตนเองตามขั้นตอนดังกล่าว เป็นธรรมภาระที่บุคคลสามารถปฏิบัติได้ควบคู่กับการดำเนินชีวิตประจำวัน แต่มิใช่เป็นการกระทำในลักษณะเสร็จสิ้น ต้องกระทำอย่างต่อเนื่องจนเป็นนิสัย เพราะจิตใจของมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เฉกเช่น กระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ส่วนที่สอง ได้แก่ ลำต้นของต้นไม้ แสดงถึงพฤติกรรมการทำงานอาชีพอย่างขยันขันแข็ง ซึ่งประกอบด้วยจิตลักษณะ 5 ด้าน คือ 2. 1 เหตุผลเชิงจริยธรรม 2. 2 มุ่งอนาคตและการควบคุมตนเอง 2. 3 ความเชื่ออำนาจในตน 2. 4 แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ 2. 5 ทัศนคติ คุณธรรมและค่านิยม 3. ส่วนที่สาม ได้แก่ รากของต้นไม้ ที่แสดงถึงพฤติกรรมการทำงานอาชีพอย่างขยันขันแข็งซึ่งประกอบด้วยจิตลักษณะ 3 ด้าน คือ 3. 1 สติปัญญา 3. 2 ประสบการณ์ทางสังคม 3.
2 วิเคราะห์ตนเองเกี่ยวกับความคิด ความต้องการเจตคติการกระทำ และผลการกระทำ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน 2. 3 ค้นหาความรู้จากแหล่งความรู้ต่าง ๆ เช่น จากตำรา บทความ รายงานการวิจัยด้านพฤติกรรมศาสตร์หรือศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์และพัฒนาตน อย่างถ่องแท้ 2. 4 เข้ารับการอบรมเพื่อพัฒนาจิตใจ (จิตใจและพฤติกรรมมนุษย์เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้เช่นเดียวกับสรรพสิ่งทั้งหลายในโลก) ทำให้จิตใจได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเกิดปัญญารับรู้ตนเองอย่างลึกซึ้งและแท้จริง 3. การฝึกตน เป็นวิธีการพัฒนาด้าน คุณธรรมจริยธรรมด้วย ตนเองขั้นสูงสุด เพราะเป็นการพัฒนาความสามารถของบุคคล ในการ ควบคุมการประพฤติปฏิบัติของตนให้อยู่ในกรอบของพฤติกรรมที่พึงปรารถนาของสังคม ทั้งในสภาพการณ์ปกติและเมื่อเผชิญปัญหาหรือขัดแย้ง การฝึกตน เป็นวิธีการพัฒนาด้าน คุณธรรม จริยธรรมด้วยตนเองขั้นสูงสุด เพราะเป็นการพัฒนาความสามารถของบุคคล ในการควบคุมการประพฤติปฏิบัติของตนให้อยู่ในกรอบของพฤติกรรมที่พึงปรารถนาของสังคม ทั้งในสภาพการณ์ปกติและเมื่อเผชิญปัญหาหรือขัดแย้ง 3. 1 การฝึกวินัยขั้นพื้นฐาน เช่น ความขยันหมั่นเพียร การพึ่งตนเอง ความตรงต่อเวลา ความรับผิดชอบ การรู้จักประหยัดและออม ความซื่อสัตย์ ความมี สัมมาคารวะ ความรักชาติฯ 3.