5, Symphony No. 6, Symphony No. 7 และ Symphony No. 9 ดนตรีแห่งจินตนาการ และ อารมณ์เพ้อฝัน 20th Century Music เป็นแนวเพลงที่พยายามออกจากกรอบเดิมของดนตรีคลาสสิก
䪧 U+4AA7, 䪧 CJK UNIFIED IDEOGRAPH-4AA7 ← 䪦 [U+4AA6] CJK Unified Ideographs Extension A 䪨 → [U+4AA8] เนื้อหา 1 ข้ามภาษา 1. 1 อักษรจีน 1. 1. 1 อ้างอิง 2 ภาษาจีน 2.
ผมได้ศึกษาและทดลองประพันธ์ดนตรีคลาสสิคในรูปแบบ "ฟิวจ์" (fugue) มาได้ครึ่งปีแล้ว จนรู้สึกว่าอยากจะลองเขียนถึง fugue ว่ามันคืออะไร พิเศษ อย่างไร และที่สำคัญที่สุด คือแต่งอย่างไร เผื่อจะมีประโยชน์กับผู้ที่รักดนตรีและสนใจบทประพันธ์รูปแบบนี้บ้าง เพราะข้อเขียนเกี่ยวกับ fugue นั้นมีน้อย หาอ่านยาก โดยเฉพาะในภาษาไทยคิดว่าคงมีในตำราระดับมหาวิทยาลัย ที่ส่วนมากก็เรียบเรียงขึ้นมาจากตำราภาษาอังกฤษเท่านั้น Fugue เป็น "วิธีการ" ประพันธ์ดนตรีแบบหนึ่งที่เติบโตมาในยุโรปตั้งแต่ยุคกลางและมารุ่งเรืองที่สุดในยุคบาร็อค (baroque) ประมาณปี ค. ศ.
ข้ามไปเนื้อหา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี สมัยคลาสสิก ( อังกฤษ: Classical period) เป็นยุคของดนตรีระหว่าง ค. ศ.
5/10 Tokyo Philharmonic Orchestra 9. 5/10 การบันทึกเสียง 10/10
เพลงดังก็มันส์ดี แต่ไม่ใช่ทุกที่ๆ ต้องการสีสัน หลายครั้งที่ต้องการสมาธิ แต่เสียงรอบข้างก็ช่างน่าสนใจเหลือเกิน ครั้นจะหาที่เงียบสงบอยู่คนเดียว ก็ไม่วายต้องตีกับเสียงในหัวของตัวเองอีก บางทีอาจต้องพึ่งเสียงที่ช่วยผ่อนคลายที่ทำให้มีสมาธิมากยิ่งขึ้นได้ วันนี้ Mango Zero ขอเสนอ 5 ประเภทเพลงที่แค่เปิดคลอระหว่างทำงาน ก็สามารถสร้างสมาธิได้!
เพลงพื้นบ้านมักเป็นบทเพลงที่ใช้ในการประกอบกิจกรรมต่างๆ มิใช่แต่ขึ้นมาเพื่อให้ฟังเฉยๆ หรือเพื่อให้รู้สึกถึงศิลปะของดนตรีเป็นสำคัญ จะเห็นได้ว่า เพลงกล่อมเด็กมีขึ้นมาเพราะต้องการใช้ร้องกล่อมเด็กให้นอน เพลงเกี่ยวข้าวใช้ร้องเล่นในเทศกาลเกี่ยวข้าว เนื่องจากเสร็จภารกิจสำคัญแล้ว ชาวนาจึงต้องการเล่นสนุกสนานกัน หรือเพลงเรือใช้ประกอบการเล่นเรือหน้าน้ำหลาก เป็นต้น 3. รูปแบบของเพลงพื้นบ้านไม่ซับซ้อน มักมีทำนองหลัก 2-3 ทำนองร้องเล่นกันไป โดยการเปลี่ยนเนื้อร้อง จังหวะประกอบเพลงมักจะซ้ำซากไปเรื่อยๆ อาจจะกล่าวได้ว่า ดนตรีหรือเพลงพื้นบ้านเน้นที่เนื้อร้อง หรือการละเล่นประกอบดนตรี เช่น การฟ้อนรำหรือการเต้นรำ 4. ลักษณะของทำนองและจังหวะเป็นไปตามลักษณะของกิจกรรม หรือการละเล่น เช่น เพลงกล่อมเด็กจะมีทำนองเย็นๆเรื่อยๆ จังหวะช้าๆ เพราะจุดมุ่งหมายของเพลงกล่อมเด็กต้องการให้เด็กผ่อนคลายและหลับกันในที่สุด ตรงกันข้างกับเพลงรำวงจะมีทำนองและจังหวะสนุกสนานเร็วเร้าใจเพราะต้องการให้ทุกคนออกมารายรำเพื่อความครึกครื้น 5. ลีลาการร้องเพลงพื้นบ้านมักเป็นไปตามธรรมชาติ การร้องมิได้เน้นในด้านคุณภาพของเสียงสักเท่าใด ลีลาการร้องไม่ได้ใช้เทคนิคเท่าใดนัก โดยปกติเสียงที่ใช้ในการร้องเพลงพื้นบ้านไม่ว่าชาติใดภาษาใดมักจะเป็นเสียงที่ออกมาจากลำคอมิได้เป็นเสียงที่ออกมาจากท้องหรือศีรษะ ซึ่งเป็นลีลาการร้องเพลงของพวกเพลงศิลปะ 6.
สมัยกรีก (Ancient Greek music) 2. สมัยโรมัน (Roman) 3. สมัยกลาง (The Middle Ages) 4. สมัยรีเนซองส์ (The Renaissance) 5. สมัยบาโรก (The Baroque Age) 6. สมัยคลาสสิก (The Classical Period) 7. สมัยโรแมนติก (The Romantic Period) 8. สมัยอิมเพรชชั่นนิสติค (The Impressionistic) 9.
Polyphonic Perio (ค. ศ. 1200-1650) ยุคนี้เป็นยุคแรก วิวัฒนาการมาเรื่อยๆ จนมีแบบฉบับและหลักวิชการดนตรีขึ้น วงดนตรีอาชีพตามโบสถ์ ตามบ้านเจ้านาย และมีโรงเรียนสอนดนตรี 2. Baroque Period (ค. 1650-1750) ยุคนี้วิชาดนตรีได้เป็นปึกแผ่น มีแบบแผนการเจริญด้านนาฏดุริยางค์ มีมากขึ้น มีโรงเรียนสอนเกี่ยวกับอุปรากร (โอเปร่า) เกิดขึ้น มีนักดนตรีเอกของโลก 2 ท่านคือ J. S. Bach และ G. H. Handen assical Period ( ค. 1750-1820) ยุคนี้เป็นยุคที่ดนตรีเริ่มเข้าสู่ยุคใหม่ มีความรุ่งเรืองมากขึ้น มีนักดนตรีเอก 3 ท่านคือ HaydnGluck และMozart 4. Romantic Period ( ค. 1820-1900) ยุคนี้มีการใช้เสียงดนตรีที่เน้นถึงอารมณ์อย่างเด่นชัดเป็นยุคที่ดนตรีเจริญถึงขีดสุด เรียกว่ายุคทองของดนตรี นักดนตรีเช่น Beetoven และคนอื่นอีกมากมาย Period ( ค.