คลิก
(เธอขอไม่ให้เขาไปแต่เขาไม่สนใจเธอเลย) 6. คำกริยาเปลี่ยนรูป หรือ irregular verb ที่มีการ เปลี่ยนรูปไปเลย – see เป็น saw เช่น I accidentally saw both of them kissing. (ฉันเห็นเขาสองคนจูบกันอยู่โดยไม่ได้ตั้งใจ) – buy เป็น bough t เช่น He bought a bag for his girlfriend as a present. (เขาซื้อกระเป๋าให้แฟนเป็นของขวัญ) 7. คำ กริยาที่ไม่เปลี่ยนรูป – cut คงเดิม เช่น I cut my finger when I was cooking. (ฉันทำมีดบาดตัวเองตอนกำลังทำอาหาร) – put คงเดิม เช่น I put those snacks back to the shelf. (ฉันเอาขนมพวกนั้นกลับไปเก็บที่เดิม) วิธีทำให้เป็นประโยคปฏิเสธ นอกจาก verb to be ที่ใช้ (I, he, she, it) was not และ (you, we, they) were not แล้ว นอกเหนือจากนั้นให้ใช้ did not (หรือ didn't) ตามด้วย verb ช่องหนึ่ง – I, he, she, it ใช้ was not (wasn't) เช่น It wasn't Jerry who told lies. (ไม่ใช่เจอร์รี่หรอกที่พูดโกหกน่ะ) – You, we, they ใช้ were not (weren't) เช่น You weren't there when I needed you. (เธอไม่ได้อยู่กับฉันเวลาที่ฉันต้องการเธอ) – กริยาทั่วไป เช่น I didn't meet him at the end. (สุดท้ายแล้วฉันไม่ได้เจอเขาหรอก) วิธีสร้างประโยคคำถาม 1.
(ขณะที่ฉันกำลังดูการแข่งขันฟุตบอลอยู่นั้น ฉันก็ปวดศีรษะ) 2. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำ 2 อย่างที่กำลังดำเนินอยู๋ในอดีตในเวลาเดียวกัน เช่น We were playing while they are studying. (พวกเรากำลังเล่นกัน ขณะที่พวกเขากำลังเรียน) Past Perfect Tense (โครงสร้าง Subject + had + Verb 3) 1. ใช้กับเหตุการณ์ หรือการกระทำ 2 อย่างที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงในอดีต โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนให้ใช้ Past Perfect Tense ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังให้ใช้ Past Simple Tense เช่น I went to work after I had eaten breakfast. (ฉันไปทำงานหลังจากที่ได้ทานอาหารเช้า) We had learnt Japanese before we went to Japan. (พวกเราได้เรียนภาษาญี่ปุ่นก่อนที่พวกเราจะไปประเทศญี่ปุ่น) 2. ใช้กับการแสดงความปรารถนาในสิ่งที่ไม่เป็นจริงที่ได้เกิดขึ้นแล้วในอดีต เช่น We wish we had passed the examination. (พวกเราอยากให้พวกเราได้สอบผ่าน (ซึ่งในความเป็นจริงพวกเราสอบไม่ผ่าน) Past Perfect Continuous Tense (โครงสร้าง Subject + had + been + Verb (ing) มีวิธีการใช้ที่ไม่แตกต่างจาก Past Perfect Tense แต่มีจุดต่างกันตรงที่ Past Perfect Continuous Tense จะเน้นความต่อเนื่องของเหตุการณ์ หรือการกระทำได้ดีกว่า Past Perfect Tense เช่น I had been sleeping for two hours when he came in.
อยู่หลัง verb + that ในโครงสร้าง subject + verb + that subject + (should) + infinitive without to (Verb1 ไม่มี to นำหน้า) Verb ที่นิยมใช้ในรูป Present Subjective ตัวอย่างเช่น advise that – แนะนำว่า ask that – ขอร้องว่า command that – สั่งว่า demand that – ต้องการว่า insist that – ยืนกรานว่า order that – สั่งว่า propose that – เสนอว่า recommend that – แนะนำว่า request that – ขอร้องว่า require that – ต้องการว่า suggest that – แนะนำว่า urge that – กระตุ้น, เตือนว่า ตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษ The teacher demands that we be on time. I insisted that he pay me the money. 2. อยู่หลัง It is/was + Adjective(บางคำ) + that ในโครงสร้าง It is + adjective that + subject + (should) + infinitive without to (Verb1 ไม่มี to นำหน้า) Adjective ที่ใช้โครงสร้าง Present Subjunctive ได้แก่ critical that – จำเป็นที่ essential that – จำเป็นที่ imperative that – จำเป็นที่ necessary that – จำเป็นที่ vital that – จำเป็นที่ important that – สำคัญที่ significant that – สำคัญที่ recommended that – แนะนำว่า urgent that – เป็นเรื่องด่วนที่ strange that – แปลกที่ It is advisable that we do exercise every day.
It must have fallen wh ile I was on the flight. หาตังค์ไม่เจอเลยมันต้องหล่นตอนอยู่บนเครื่องแน่ๆ เหตุการณ์ ตรงกันข้ามกับการกระทำ should + have + Past participle(V. 3) ใช้แสดงว่าเหตุการณ์นั้นๆ ไม่ได้เกิดขึ้นจริงเหตุการณ์เกิดขึ้น ตรงกันข้ามกับข้อความที่พูด หรือ กระทำ ตัวอย่างเช่น Steve should have come to school yesterday. (But he didn't. ) สตีฟควรจะมาโรงเรียนนะเมื่อวาน แต่เขาก็ไม่มา The stealers should not have broken into the police's home last night. (But they did. ) พวกหัวขโมยไม่ควรจะบุกรุกเข้าไปบ้านตำรวจเลยเมื่อคืน แต่พวกเขาก็กระตุกหนวดเสือซะแล้ว ***สำนวน "broken into มากจาก break into แปลว่า บุกรุก" ออกข้อสอบบ่อยมากเวอร์ โครงสร้าง V. to be + supposed to+… การใช้ V. to be + supposed to+… แปลว่า "ควรต้อง" สมควรที่จะต้องทำอะไรบางอย่าง หากเป็นอดีต was, were จะหมายถึงสิ่งที่ควรทำแต่อาจจะไม่ได้ทำ แต่หาก ใช้ is, am, are จะถูกใช้ในการ แนะนำ ซึ่งหมายถึง "สมควร, ควรจะ" ตามบริบทที่แตกต่างกันออกไป ดังตัวอย่างด้านล่างเลยนะคะ You are supposed to work from home. แปลว่า คุณสมควรที่จะ ทำงานจากบ้าน Jenny is supposed to be with Jim.
สวัสดีค่านักเรียนชั้นม. 6 ที่น่ารักทุกคน วันนี้เราจะไปดู " Modals in the Past " ที่ใช้บ่อยพร้อมเทคนิคการใช้งานง่ายๆกันค่า Let's go! ไปลุยกันเลยจร้า ทบทวน Modal Verbs Modal Auxiliaries คือ กริยาช่วยกลุ่ม Modal verbs หรือ Modals ซึ่งจะมีความหมายพิเศษในตัวของมันเอง และ ไม่ควรจะแปลตรงๆ ตามความหมายใน Dictionary เหมือนกริยาช่วยตระกูล V. to be, V. to do, และ V. to have เราจะต้องดูที่บริบทการใช้งานของผู้พูด กลุ่มของ Modal verbs ที่ควรรู้จักคือ shall, should, will, would, may, might can, could, must, ought to, used to ที่เราจะได้รู้และทบทวนในบทความนี้นั่นเองค่า แต่ในบทเรียนนี้เราจะไป โฟกัสที่ Modals in the Past หรือ ในบางครั้งเราอาจจะเคยได้ยินชื่อ Past Modals กันเด้อ Sit back, relax, and enjoy your lesson! ขอให้สนุกกับการเรียนน๊า สรุปการใช้ Modals in the past เราจะได้รู้เทคนิคการใช้ Modals in the past ดังรายละเอียดต่อไปนี้ ด้านล่างนะจ้ะ ใช้แสดงความ ไม่มั่นใจว่า บางอย่าง ได้เกิดขึ้นในอดีตหรือไม่ ตามโครงสร้าง "may (might) + have + Past participle (V. 3) " หมายถึง การคาดคะเนเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะ ไม่มั่นใจว่าได้เกิดขึ้นในอดีตหรือไม่ ตัวอย่างเช่น John may have his car washed last week.
แปล ฉันสามารถตัดต่อวีดีโอได้ คำถาม: Can you edit the video? แปล คุณสามารถตัดต่อวีดีโอได้มั้ย ปฏิเสธ: I cannot (can't) edit the video. แปล ฉันไม่สามารถตัดต่อวีดีโอได้ ทบทวน เมื่อต้องแสดงความเป็นไปได้ "ระดับปานกลาง" กริยาช่วยกลุ่มนี้ ได้แก่ may, might, could, should คำเหล่านี้เมื่ออยู่ในประโยคจะมีน้ำหนักของคำระดับปานกลาง และจะมีความหมายเหมือนกันซึ่งแปลว่า อาจจะ เช่น I might like him a bit. แปล ฉันอาจจะชอบเขานิดหน่อย Could แสดงความเป็นไปได้น้อยมาก Could นอกจากจะใช้เพื่อแสดงแนวโน้มของความเป็นไปได้ปานกลาง และ การเปรียบเทียบที่เกินจริง บางครั้งเป็นการประชดประชัน เช่น I'm hungry. I could eat a horse. ฉันหิวมาก ฉันสามารถกินม้าได้ทั้งตัวเลย (เกินจริง) She could win the beauty pageant. หล่อนคงจะชนะการประกวดนางงามนะ (ประชด) ***ลองนึกถึงสถานการณ์แฟนนางงามขี้อิจฉาพูดประโยคนี้แล้วยิ้มที่มุมปากแบบร้ายๆ How could I give a speech without a script?