ซึง จัดเป็นดนตรีประเภทเครื่องดีดเป็นเครื่องดนตรีของล้านนาบรรเลง ด้วยการดีดซึงมีส่วนประกอบที่สำคัญอยู่ 2 ส่วนคือ ตัวซึง สายซึง และไม้ดีด ตัวซึงทำด้วยไม้สัก หรือไม้เนื้อแข็ง ซึ่งแบ่งออกเป็นกะโหลกซึงและคันซึง ส่วนที่เป็นกระโหลกซึงตรงด้านล่างจะตอกหมุด สำหรับผูกสายกลางกระโหลกจะเป็นที่สำหรับพาดสายซึง ตัวกล่องเสียงที่ขุดเป็นโพรง มีช่องเสียงอยู่ด้านหน้ากำหนดระดับเสียงเป็นระยะ ๆ สายทำด้วยโลหะหรือไหมไม้ดีดทำด้วยเขาสัตว์ 2. สะล้อ เป็นเครื่องดนตรีประเภทสี สะล้อมีส่วนประกอบ 5 ส่วน คือ กระโหลก คันสะล้อ ลูกบิด สายละล้อและคันชักกระโหลกทำด้วยกะลามะพร้าวหน้ากระโหลกทำด้วยแผ่นไม้ค่อนข้างบาง กระโหลกสะล้อเจาะเป็นรูปสำหรับสอดใส่คันสะล้อคันสะล้อด้านบนเจารู 2-3 รู สำหรับสอดใส่ลูกบิด สายสะล้อนิยมใช้สายลวดปลายสายด้านล่างผูกยึดไว้กับปลายคันซอด้านล่างคันชักทำด้วยไม้ ขึงด้วยหางม้าเวลาสีมีทวนปักใช้ตั้งกับพื้น (คันชักแยกออกจากตัวสะล้อ) 3. ตะโลดโป้ด จัดเป็นเครืองดนตรีประเภทตี เป็นกลองสองหน้า รูปร่างทรงกระบอกยาว ทำด้วยไม้เนื้อแข็งหรือเนื้ออ่อนหน้ากลองขึงด้วยหนังโยง เร่งเสียงด้วยเชือกหนัง ถ่วงหน้าด้วยข้าวสุกบดผสมด้วยขี้เถ้า ตีด้วยไม้หุ้มนวม 4.
วิธีการนั่งบรรเลงกระจับปี่ ผู้บรรเลงนั่งพับเพียบไปด้านขวา ตัวกระจับปี่วางบนตักของผู้บรรเลง มือซ้ายใช้สำหรับกดนมของกระจับปี่ตามเสียงต่างๆ มือขวาจับที่ดีดและดีดสายกระจับปี่ 2. การถือกระจับปี่ ให้ถือแนบกับลำตัว โดยตั้งฉากกับพื้น ไม่แกว่งไปแกว่งมาเพื่อป้องกันการกระแทก 3. ควรวางกระจับปี่คว่ำหน้าลง ไม่ควรวางพิงหรือวางชิดขอบเวทีโต๊ะ เพราะกระจับปี่มีโขนที่โค้งงอ อาจเกิดการกระทบกระเทือนให้แตกหักหรือเสียหายได้ 4. ควรใช้ผ้าที่มีความนุ่มและแห้ง เช็ดกระจับปี่ทุกครั้งหลังจากบรรเลงเสร็จ 5. ควรมีขาตั้งสำหรับวางกระจับปี่โดยเฉพาะ เพื่อสะดวกในการนำเก็บแล้วหยิบใช้งาน จะเข้ จะเข้ เป็นเครื่องดนตรีไทยประเภทเครื่องดีด มี 3 สาย ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากมอญและได้ปรับปรุงแก้ไขมาจากพิณ คือ กระจับปี่ซึ่งมี 4 สาย นำมาวางดีดกับพื้นเพื่อความสะดวก มีประวัติและมีหลักฐานครั้งแรกในสมัยกรุงศรีอยุธยา จะเข้ได้นำเข้าร่วมบรรเลงเป็นเครื่องนำอยู่ในวงมโหรีคู่กับกระจับปี่ในสมัยรัชกาลที่2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีผู้นิยมเล่นจะเข้กันมาก ทำให้กระจับปี่ค่อย ๆ หายไปในปัจจุบัน เนื่องจากหาผู้เล่นเป็นน้อย ตัวจะเข้ทำเป็นสองตอน คือตอนหัวและตอนหาง โดยลักษณะทางตอนหัวเป็นกระพุ้งใหญ่ ทำด้วยไม้แก่นขนุน หนาประมาณ 12 ซม.
ปี่จุม เป็นเครื่องดนตรีประเภท เป่าลิ้นเดียว มีส่วนประกอบแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ตัวปี่ และลิ้นปี่ ตัวปี่ทำด้วยไม้รวกชนิดหนึ่งด้านบนใกล้ปลายสุดเจาะรูสำหรับสอดใส่ลิ้น ใต้ลงมาเจาะรูสำหรับกดนิ้ว ลิ้นปี่ทำด้วยโลหะนำไปสอดใส่ไว้ในรูลิ้น เวลาเป่า ผู้เป่าจะอมด้านที่มีลิ้น ไว้ในกระพุ้งแก้มในแนวนอน การเป่าลมเข้าหรือออกจะได้โทนเสียงระดับเดียวกัน ปี่สามารถทำเสียงได้ทั้งเป่าและดูดทำให้เสียงดังติดต่อกันไม่ขาดระยะ ปี่ที่นิยมทำมี 4 ขนาด คือ ปี่ใหญ่ ปี่กลาง ปี่ก้อยและปี่ตัด 5. กลองปูเจ่หรืออุเจ่ จัดเป็นเครื่องดนตรีประเภทตี มีลักษณะคล้ายกลองยาว แต่มีขนาดเล็กกว่า ตัวกลองทำด้วยไม้ขนุนไม้ชุมเห็ด ไม้ซื้อ ขึงด้วยหนังหน้าเดียว ท่องหางของกลองกลึงเป็นปล้อง ๆ มีสายสะพายสำหรับคล้องไหล่ เวลาตี มักตีด้วยมือ ประวัติกลองชนิดนี้ เป็นของชาวไทยมาช้านาน ได้แพร่เข้ามาในอาณาจักรล้านนาไทยแต่โบราณ เครื่องดนตรีไทยภาคใต้ 1. กลองหนัง รูปร่างลักษณะเป็นเครื่องดนตรีประเภทตี เป็นกลองสองหน้าตัวกลองทำจากไม้เนื้อแข็ง ข้างในกลวงขึ้นหน้าด้วยหนังวัว หรือ หนังแพะทั้งสองด้าน ตีด้วยไม้ 1 คู่ เวลาตีต้องตั้งกลองไว้ที่พื้น หรือขาตั้ง เพื่อให้ตีได้สะดวก ประวัติมีมาแต่โบราณ ไม่ปรากฎหลักฐานว่าเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ นิยมใช้ในการละเล่นของภาคใต้ทั่วไป จังหวัดที่นิยมบรรเลง ทุกจังหวัดทางภาคใต้ โอกาสที่บรรเลง งานมงคลและงานอวมงคลทั่วไป 2.
ปี่ผู้ไท เป็นปี่ที่ทำจากไม้กู่แคน โดยเอากู่แคนมาปล้องหนึ่งตัดโดยเปิดปลายข้างหนึ่ง และขังข้ออีกด้านหนึ่งตรงปลายด้านที่บั้งข้อเจาะช่องสำหรับใส่ลิ้นที่ทำด้วยทองเหลือง เจาะรูเยื่อ 1 รู และรูนับ 5 รู ปรับเสียงให้เท่ากับเสียงแคน ดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงการฟ้อนของอีสานเหนือดั้งเดิม จะใช้เครื่องดนตรีหลักเพียงชนิดใดชนิดหนึ่งชนิดเดียว เช่น ฟ้อนผีฟ้า ฟ้อนผีหมอ จะใช้แคน ฟ้อนกลองตุ้มจะใช้กลองตุ้มอย่างเดียว แต่ในการแสดงชุดที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในยุคหลังจะใช้ดนตรีลักษณะผสมวงหลายชิ้น เช่น พิณ แคน โปงลาง กลอง ฯลฯ ผสมกัน วัฒนธรรมกลุ่มดนตรีอีสานใต้ ซอกันตรึม ตรัว ซอกันตรึม พิณน้ำเต้า ตรัวอู้ ประเภทเครื่องดีด 1. พิณกระแสเดียวหรือ กระแสมุย แปลว่า พิณเสียงเดียวหรือพิณสายเดียว กระโหลกพิณทำด้วยลูกน้ำเต้าแก่จัดตากให้แห้งตัดครึ่งด้านขวางของผล แกะเมล็ดในและเยื่อออกให้หมด ใช้หวายขันชะเนาะกระโหลกน้ำเต้าให้ติดกับโคนของคันพิณลูกบิดอยู่ทางด้านโคน สุดของคันพิณขึงโยงด้วยสายโลหะ จากลูกบิดสอดหวายที่ขันชะเนาะอยู่ไปผูกกับปลายคันพิณ ตอนปลายสุดมีลักษณะงอนเป็นรูปพระยานาคชูหัว ซึ่งชาวไทยภาคกลางเรียกว่า พิณน้ำเต้า 2. จาเป่ย หรือ กระจับปี่ มีลักษระคล้าย ซึง มีสายคู่ซึ่งสายแต่ละคู่ตั้งเสียงให้เท่ากัน คันพิณทำด้วยไม้เนื้อแข็ง ส่วนกล่องเสียงจะทำด้วยไม้ขนุนหรือไม้สัก ที่ส่วนปลายสุดของคันพิณมีรู 4 รู เพื่อใส่ลูกบิดและร้อยสาย และที่คันพิณจะมีที่วางนิ้วซึ่งขัดไว้เป็นระยะๆ 3.
พิณน้ำเต้า เป็นพิณสายเดียวทำด้วยไม้เนื้อแข็งยาวประมาณ 75 เซนติเมตร ปลายข้างหนึ่งทำด้วยโลหะ หล่อเป็นลวดลาย สำหรับขึงสายสวมติดไว้ ด้านตรงข้ามมีลูกบิด ทำด้วยไม้เนื้อแข็งสอดไว้ กล่องเสียงทำด้วยผลน้ำเต้าแห้ง มีเชือกรัดสายพิณ ซึ่งทำด้วยโลหะ ให้คอดตรงบริเวณ ใกล้กล่องเสียง ใช้บรรเลงด้วยการดีดด้วยนิ้วมือ เวลาบรรเลงจะใช้กล่องเสียงประกอบกับอวัยวะของร่างกาย เช่น หน้าอกหรือท้อง มีเสียงเบามากสามารถทำทางเสียง (Harmonic) ได้ด้วยการเทียบเสียงไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัวแล้วแต่ผู้บรรเลงจะพอใจเพราะใช้บรรเลงโดยเอกเทศ พิณน้ำเต้านี้จัดอยู่ในประเภทพิณชีตเตอร์ 2. พิณเพียะ มีลักษณะคล้ายพิณน้ำเต้า แต่พิณเพียะทำเพิ่มขึ้นเป็น 2 สายและ 4สายก็มีคันทวนยาวประมาณ 1 เมตรเศษลูกปิดยาวประมาณ18 เซนติเมตร ใช้เชือกคล้องสายผูกโยงไว้กับทวน สำหรับเร่งเสียงเหมือนกันพิณน้ำเต้า กะโหลกก็ทำด้วยเปลือกลูกน้ำเต้าตัดครึ่งลูกก็มี ทำด้วยกะลามะพร้าวก็มีเวลาดีดก็เอากะโหลกประกบติดไว้กับหน้าอก ขยับเปิดปิดเพื่อให้เกิดเสียงก้องกังวานตามต้องการ เช่นเดียวกับดีดพิณน้ำเต้าในท้องถิ่นภาคเหนือในอดีตผู้เล่นมักจะดีดคลอขับร้องของตนเอง และนิยมเล่นในขณะที่ไปเที่ยวเกี้ยวสาวตามหมู่บ้านในเวลาค่ำคืน พิณเพียะนี้จัดอยู่ในประเภทพิณชีตเตอร์ 3.
วิธีการบรรเลงพิณอีสาน ผู้บรรเลงสามารถนั่งหรือยืนบรรเลงก็ได้โดย มือซ้ายใช้กดสายและนมของพิณ และมือขวาใช้ที่ดีด ดีดสายพิณ 2. การเก็บพิณ สามารถเก็บได้หลายลักษณะดังนี้ 2. 1พิณที่มีลูกบิดเป็นไม้ ในการวางพิณให้วางพิณหงายขึ้น และการเก็บควรเลือกเก็บใส่ถุงให้เรียบร้อย หรือนำไปแขวนไว้ตามความเหมาะสม 2. 2พิณประยุกต์ คือ พิณที่มีลูกบิดคล้ายลูกบิดของกีตาร์ในการวางให้วางคว่ำ ป้องกันไม่ให้สายพิณลด เพราะอาจทำให้เสียงเพี้ยนได้ การเก็บควรเก็บใส่ถุงให้เรียบร้อย หรือนำไปแขวนตามความเหมาะสม 3. ควรใช้ผ้าที่มีความนุ่ม และแห้ง เช็ดพิณทุกครั้งหลังจากบรรเลงเสร็จ 4. ไม่ควรพิงพิณอีสาน เพราะอาจเกิดการล้มหรือกระทบกระเทือน จนเกิดความ เสียหายได้ ประวัติดนตรีไทยประเภทเครื่องสี ซอด้วง เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสีที่มี 2 สาย ซึ่งเดิมเป็นเครื่องดนตรีของจีน ร่วมบรรเลงในวงเครื่องสายเมื่อราวต้นสมัยรัตนโกสินทร์ หรือถ้าก่อนนั้นก็คงราวปลายสมัยกรุงศรีอยุธยา พร้อมกันกับซออู้ มีหน้าที่เป็นผู้ทำทำนองเพลง สีเก็บถี่ๆบ้าง โหยหวนเป็นเสียงยาวบ้าง เป็นหลักในการดำเนินเนื้อเพลง และเป็นผู้นำวง ด้วยเหตุที่เรียก "ซอด้วง" ก็เพราะว่ากะโหลกซอนั้น มีลักษณะคล้ายกับเครื่องดักสัตว์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "ด้วงดักแย้" ส่วนประกอบของซอด้วงมีดังนี้ ซออู้ ประวัติดนตรีไทยประเภทเครื่องตี
โหวด เป็นเครื่องเป่าไม่มีลิ้น จัดอยู่ในประเภทขลุ่ยแต่โหวดไม่มีรูพับจะมีเสียงลดหลั่นกันตามลักษณะของเสียงดนตรี โหวดประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนคือ ลูกโหวดไม้แกน และขี้สูดลูกโหวดทำจากไม้ซางที่ชาวอีสานเรียกว่าไม้เฮี้ยหรือไม้กู่แกนนำมาตัดให้ได้ขนาดลดหลั่นกันเป็นท่อตามโครงสร้างของเสียงแล้วมาเรียงตัดไว้กับแกนไม้ไผ่โดยใช้ขี้สูดเป็นกาวเชื่อมตัดกันไว้ขี้สูดส่วนหนึ่งใช้อุดรูลูกโหวดด้านล่างเพื่อเป็นเครื่องปรับระดับเสียงและขี้สูดอีกส่วนหนึ่งใช้ติดไว้ที่ตรงหัวของโหวดเพื่อกันกระแทกเวลาโหวดตกกระทบกันปัจจุบันใช้รองปากเวลาเป่าเพื่อหันโหวดไปมาได้สะดวก 4. โปงลาง หรือขอลอ จัดเป็นเครื่องตีชนิดหนึ่งมีลักษณะคล้ายระนาดส่วนประกอบที่สำคัญคือ ลูกโปงลางซึ่งเดิมมี 5-7 ลูกปัจจุบันนิยมทำเป็น 12 ลูก โปงลางทำด้วยไม้เนื้อแข็งนิยมใช้ไม้หมากเลื่อมและไม้หมากหวด มีขนาดใหญ่โปงลางจะมีเสียง 5 เสียงเท่านั้นเพราะเพลงพื้นบ้านอีสานใช้เพียง 5 เสียง เสียงสูงต่ำตามขนาดของไม้ใช้เชือกร้อยติดกันเป็นผืนนิยมแขวนด้านเสียงต่ำไว้ด้านบนเสียงสูงทอดเอียงลงเวลาตีใช้ผู้ตี 2 คน ๆ หนึ่งตีตามทำนองส่วนอีกคนหนึ่งตีเสียงประสาทหรือเสียงเสพ 5. พิณไห เป็นเครื่องดนตรีประเภทดีดทำจากไหซองหรือไหกระเทียมทำไหขนาดลดหลั่นตามที่ต้องการมา 3-7 ใบใช้ยางสติ๊กที่ตัดจากยางในรถจักรยานมาจึงไว้ที่ปากไหดีดให้จังหวะเป็นเสียงเสพเวลาเล่นใช้มือดึงเส้นยายนี้ให้สั่นเป็นเสียงทุ้มต่ำแต่ต่อมาผู้ดีดไหเป็นเพียงผู้มาทำท่าดีดแต่งตัวสวยงามมารำเพราะคนชอบดูความสวยงามของคนดีดไหมากกว่าที่จะฟังเสียงพิณไห